วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

ไก่ผัดเผ็ดพริกเหลือง


http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-01.JPG
เพื่อน ๆ คนไหนที่ชอบทานอาหารรสชาติเผ็ดร้อน วันนี้พิมมีอาหารจานนึงจะมาแนะนำ นั่นก็คือ  "ไก่ผัดเผ็ดพริกเหลือง" ค่ะ 
 เมนูนี้เป็นเมนูที่พิมไม่ได้คิดขึ้นมาเองค่ะ  แต่เป็นเมนูที่พิมเคยได้ไปทานที่บ้านเพื่อนเมื่อ 2-3 ปีก่อน  แล้วติดใจ  ก็เลยถามแม่เพื่อนซึ่งเป็นคนทำมาว่าทำยังไง  แม่เพื่อนก็บอกให้ฟังคร่าวๆ  ว่าใส่อะไรยังไงบ้าง  แล้วพิมก็ลองเอากลับมาหัดทำดู + ปรับนิดหน่อย .... จนได้มาเป็น  "ไก่ผัดเผ็ดพริกเหลือง"  หน้าตาแบบนี้อ่ะค่ะ ^__^   ......  ซึ่งพิมเห็นว่าอาหารจานนี้ก็หน้าตาน่าทานดี และรสชาติก็โอเคอยู่  (แอบเข้าข้างตัวเองนิ๊ดดดดดดนึง)  มาวันนี้พิมก็เลยขอเอามาเผยแพร่ต่อให้เพื่อนๆ ได้ไปลองทำกันดูค่ะ เผื่อจะติดใจเหมือนพิมนะ  ^_^
หมายเหตุ  สูตรที่พิมให้ไว้สำหรับเมนูนี้และทุกเมนู  ขอให้คิดซะว่าเป็นแนวทางนะคะ  เพราะเพื่อนๆ อาจจะไม่ได้ชอบรสชาติเดียวกันพิม  ดังนั้นแล้วหากเพื่อน ๆ ชอบรสแบบไหนก็ปรับเพิมลดส่วนผสมและเครื่องปรุงเอาได้ตามใจชอบเลยนะคะ  
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-16.JPG
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-15.JPG
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-17.JPG
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::
- เนื้อไก่  250  กรัม
- พริกผัดเผ็ดตามสูตรด้านล่าง
- ถั่วฝักยาว 4 ฝ้ก
- พริกหยวก / พริกชี้ฟ้าเขียวแดง อย่างใดก็ได้ 2 เม็ด
- พริกไทยอ่อน 2 ช่อใหญ่
- โหระพา 2 กิ่ง
- น้ำตาลปี๊บ 1 ชช.
- น้ำปลา  2.5  ชต.
- น้ำซุป/น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
- น้ำมันสำหรับผัด 3 ชต.
- รายละเอียดเกี่ยวกับการตวง  ถ้วยคืออะไร ถ้วยตวง  ชต. ชช.  ช้อนตวงคืออะไร  วิธีการใช้ถ้วยตวง ช้อนตวง >> คลิ๊กที่นี่ <<
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-06.JPG
:: ส่วนผสมพริกผัดเผ็ด  :: 
- พริกเหลือง 4 เม็ด  (40 กรัม)
- พริกจินดา 5 เม็ด
- พริกขี้หนูสวนสีเขียวแดง 10-15 เม็ด
- ตะไคร้ 1 ต้นใหญ่ หรือ 2 ต้นเล็ก
- ข่ายาว 1 ซม. 1 ชิ้น
- ผิวมะกรูดหั่น 1/2  ชต.
- หอมแดง 3 หัว
- กระเทียมกลีบเล็ก 1.5 ชต.
- ลูกผักชีคั่ว ยี่หร่าคั่ว โขลกละเอียดอย่างละ 1/2 ชช.
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-02.JPG
:: วิธีทำ  :: 
อันดับแรกเรามาตำเครื่องแกงที่จะใช้ผัดเผ็ดไก่ในเมนูนี้กันก่อนนะคะ ^_^ ....... เริ่มด้วยการหั่นเครื่องแกงทั้งหมดเป็นชิ้นเล็กค่ะ เพื่อให้ตำง่าย  
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-03.JPG
 จากนั้นนำมาตำรวมกันให้ละเอียดค่ะ  โดยปกติพิมก็จะเริ่มตำผิวมะกรูดก่อน พอผิวมะกรูดละเอียดก็ค่อยใส่อย่างอื่น  พอตำทั้งหมดแหลกแล้วค่อยใส่ลูกผักชียี่หร่าคั่วที่โขลกละเอียดแล้วอ่ะค่ะ
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-04.JPG
ตำออกมาแล้วก็จะได้หน้าตาประมาณนี้นะคะ   (ขอบอก ..... หอมมากๆ)   ก็คดขึ้นใส่ถ้วยเอาไว้ก่อน 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-05.JPG
ต่อมาก็หั่นเนื้อไก่เป็นชิ้นพอคำนะคะ  แต่ให้ชิ้นใหญ่นิดนึง (ล้างก่อนแล้วค่อยหั่น) ...... เนื้อไก่เนี่ยเพื่อน ๆ จะใช้ส่วนไหนก็ได้ ขอให้เป็นส่วนที่ชอบค่ะ  อย่างถ้าพิมทำกินเองก็จะใช้เนื้อส่วนอก (อกไก่)  แต่ถ้าทำให้คุณสามีทานก็จะเป็นเนื้อสะโพก  ถ้าเป็นแม่พิม เค้าจะชอบเป็นสันในไก่นะคะ  ..... แต่ถ้าใช้เนื้อส่วนสะโพก ให้เลาะพวกไขมันทิ้งไปบ้างนะคะ ไม่งั้นเวลาทานจะค่อนข้างเลี่ยนนิดนึงค่ะ
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-07.JPG
สำหรับพริกไทยอ่อน ... ปกติพิมใช้วิธีรูดเอาแต่เม็ด  แต่คุณสามีพิมไม่ชอบทานพริกไทยอ่อนค่ะ  ก็เลยขอแบ่งเป็นรูด 1 ช่อ และอีก 1 ช่อก็หั่นเป็นท่อนสั้นๆ  ค่ะ   (เพื่อว่าคุณสามีจะได้เขี่ยออกได้)  ...... อ้อ ๆ พริกไทยอ่อนเนี่ย พิมล้างก่อนแล้วค่อยเด็ด แล้วล้างอีกทีค่ะ 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-08.JPG
ส่วนพริกหยวก หรือพริกชี้ฟ้า ก็หั่นเฉียง ๆ ตามในรูปนะคะ  จะเขี่ยเม็ดออกหรือไม่เขี่ยก็ได้  (พิมล้างก่อนแล้วค่อยหั่น - และไม่เขี่ยเมล็ดพริกออก เพราะชอบ ^^)  /  ถั่วฝักยาวก็ล้างนำแล้วหั่นเฉียงเช่นกันค่ะ  (เวลาผัดออกมาแล้ว ดูสวยดี)   /  โหระพาก็เด็ดไว้เป็นใบ ๆ นะคะ 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-10.jpg
เมื่อเตรียมเครื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็มาลงมือทำกันนะคะ ... เริ่มด้วยตั้งกระทะบนเตาไฟ ใส่น้ำมันสำหรับผัดลงไป  เปิดไฟกลาง พอน้ำมันเริ่มร้อนก็ใส่พริกที่เราโขลกไว้ลงไปผัดค่ะ 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-11.jpg
ผัดไปผัดมาสักครู่ พอพริกส่งกลิ่นหอมดีก็ใส่เนื้อไก่ลงไป ผัดให้ไก่สุกนิดหน่อย ก็ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา และน้ำซุปค่ะ  
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-12.jpg
ผัดจนกระทั่งไก่สุก  ตักขึ้นมาชิมรสชาติ  หากขาดรสไหนไปก็เติมเพิ่มเอาตามชอบนะคะ  เร่งไฟแรง แล้วก็ใส่พริกไทยอ่อน  พริกหยวก โหระพา 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-13.jpg
 ผัดให้เข้ากันจนทุกอย่างสุกดี ก็ดับไฟได้เลยค่ะ   
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-14.JPG
สุดท้ายก็ตักใส่จาน ........ แล้วยกขึ้นโต๊ะ .... เสริฟ ..... เราก็จะได้  "ไก่ผัดเผ็ดพริกเหลือง"  ออกมาหน้าตาน่าทานประมาณนี้นะคะ  (ชื่อยาวนิดนึง พิมก็ไม่รู้จะตั้งชื่อว่าอะไรดีค่ะ - -")
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-15.JPG
 รสชาติของอาหารจานนี้ จะเค็มนำ ไม่หวาน หอมเครื่องแกงซึ่งเป็นสมุนไพรทั้งน้ั้น และค่อนข้างเผ็ดร้อนนิดนึง แต่ไม่รุนแรงค่ะ   ^_^   ซึ่งถ้าเพื่อนๆ ชอบเผ็ดรุนแรงกว่านี้ เพิ่มพริกขี้หนูสวนได้ตามชอบเลยนะคะ  และหากเพื่อน ๆ ไม่ทานไก่ จะเปลี่ยนเป็นเนื้อปลาขูดปั้นเป็นลูกชิ้น นำไปต้มให้สุก แล้วนำมาผัดแทนไก่ก็ได้ค่ะ  หรือจะเป็นหมูสามชั้นที่มันน้อย ๆ หน่อยก็โอเคอยู่  หรือจะเป็นกุ้ง  - หมึกก็เข้ากันดีนะคะ  ^_^ 
http://www.pim.in.th/images/all-side-dish-chicken-egg-duck/fried-chicken-with-yellow-chili-paste/fried-chicken-with-yellow-chili-paste-16.JPG
ยังไงถ้าเพื่อน ๆ สนใจก็ลองไปทำทานกันดูนะคะ  เมนูนี้อาจจะแลดูยุ่งยากนิดนึงตรงที่ต้องตำเครื่องแกงด้วย แต่รับรองว่าหลังจากที่ทำเสร็จและได้ชิมแล้ว จะบอกว่าคุ้มค่าที่เสียเวลาตำค่ะ ^__^  ..... แล้วเจอกันใหม่เมนูหน้า สวัสดี  

น้ำพริกมะขาม (แบบผัด)





แล้วก็นำพริกขี้หนูสวนกับพริกขี้หนูเม็ดใหญ่สีแดง  ..... ใส่ครก ตำหยาบ ๆ ...... (ใช้ครกที่โขลกมะขามแหละค่ะ ไม่ต้องล้าง)

แล้วก็ปอกกระเทียมใส่ตามลงไป  (ตัดเฉพาะหัวท้ายกระเทียม และปอกเปลือกที่แข็ง ๆ ... เปลือกอ่อนสีชมพู ไม่ต้องปอกก็ได้ค่ะ)  .... ตำให้ละเอียด  ... แล้วก็ใส่กะปิลงไป

เติมน้ำตาลปี๊บ   .... ตำเบา ๆ ให้เข้ากัน  แล้วก็ใส่มะขามอ่อนที่ตำไว้ตอนแรก ... โขลกให้เข้ากันดีอีกครั้ง

สุดท้ายก็ใส่หมูสับที่เราเตรียมเอาไว้  และเหยาะน้ำปลาลงไปหน่อย  ....... เคล้า โขลกเบา ๆ ให้เข้ากันดี
ก็เป็นอันเรียบร้อย  .... ได้ส่วนผสมน้ำพริกมะขามสำหรับเตรียมเอาลงกระทะไปผัด หน้าตาแบบนี้เลยค่ะ
จากนั้นก็มาตั้งกระทะ (สำหรับจะผัด)  ใส่น้ำมันลงไปหน่อย
พอน้ำมันร้อน ก็ตักส่วนผสมใส่ลงไปเลยค่ะ ...  แล้วก็เอาตะหลิวยี ๆ ให้หมูกระจายตัว  ...... ค่อย ๆ ผัดไปเรื่อย ๆ ไฟกลางค่อนมาทางอ่อน ..... ใจเย็น ๆ  (ระวังไหม้)



พอหมูสุก และส่วนผสมเริ่มแห้ง ... ก็ทำการชิมค่ะ ว่าได้รสชาติถูกใจเราไหม ... ซึ่งรสชาติของน้ำพริกมะขามที่พิมชอบ ก็คือ เปรี้ยวนำ (แต่ไม่จี๊ด) หวานนิด ๆ เผ็ดพอประมาณ  และเค็มตามค่ะ ... ซึ่งถ้าขาดรสอะไรไป ก็เติมตามชอบเลยนะคะ
จากนั้นก็ผัดต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเรารู้สึกว่า ... น้ำพริก... มันไม่ค่อยแฉะแล้ว ... ก็ดับไฟ ตักขึ้นใส่จานหรือใส่กล่อง ..... เก็บไว้กินได้ไม่ต่ำกว่า 2 อาทิตย์เลยค่ะ



เนื่องจากว่า น้ำพริกมะขามผัดกระทะนี้  .. พิมไม่ได้ทำไว้กินเอง  แต่ทำส่งไปให้พ่อกับแม่คุณแฟนที่สุราษฎร์  ก็เลยไม่ได้เตรียมผักเอาไว้ประกอบฉาก ^^"  ...... ไปค้น ๆ ดูในตู้เย็นและรอบบ้านก็มีแต่ผักอะไรที่ไม่เข้ากัน .... แต่ก็นะคะ  ไม่เป็นไรเน๊าะ  ไม่ได้กินเข้าไป ... แค่เอามาประกอบฉากเท่านั้นเอง  ^^

ป.ล. สำหรับผักทั่วไป ที่พิมว่ากินกับน้ำพริกมะขามแล้วอร่อยมาก ๆ ก็มีแตงกวา ถั่วพู ถั่วฝักยาว มะเขือตอแหล  ... แต่จริง ๆ แล้ว มีผักอะไรที่ชอบ ก็เอามากินด้วย ได้ทั้งนั้นเลยค่ะ




ยังไงถ้าใครสนใจ ... ลองทำดูนะคะ ... ดูจากรูป อ่านจากข้อความ อาจจะรู้สึกว่าวุ่นวายจัง ยากจริง ... แต่ถ้าได้ลงมือทำแล้ว เพื่อน ๆ อาจจะบอกว่า "ทำไมมันง่ายอย่างนี้เนี่ยยยยยยย"

................ ไปล่ะค่าาาาาาา

เคล็ดลับ วิธีทำแกงเขียวหวานให้อร่อย





เคล็ดลับ วิธีทำแกงเขียวหวานให้อร่อย

ขึ้นชื่อว่า แกงเขียวหวาน แค่ได้ยินชื่อ ก็น้ำลายสอ ออกมารอออยู่ในปากแล้วค่ะ แกงไทย ตระกูลนี้แปลกแตกต่าง จากแกงกะทิ ชนิดอื่นๆ หลักๆเห็นจะเป็นสีของแกง ที่มีสีเขียว ตามสีของพริกที่ใช้ ทำพริกแกงค่ะ แต่คนไทยก็พลิกแพลง แกงเขียวหวานให้ทานได้ไม่จำเจ จากส่วนผสมหลักที่ใช้แกง อาทิเช่น แกงขียวหวานไก่ (อันนี้แม่เขียวหวาน ชอบเป็นที่สุดค่า) แกงเขียวหวานหมู แกงเขียวหวานเนื้อ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมี เมนูแกงเขียวหวานใหม่ๆ แปลกๆ ออกมาให้เราชิมอยู่เสมอค่ะ ค่ะ
วิธีทำแกงเขียวหวาน ให้อร่อย จุดหลักก็เหมือนกับ การทำแกงชนิดอื่นๆค่ะ น้ำพริกแกง สำคัญมากๆ ค่ะ จากการสำราจล่าสุด ไม่น่าเชื่อ ยังมีเพื่อนๆ ที่ชอบทำครัวอีกหลายคน ยังคงใช้ครก ในการตำ ตำ และ ตำ น้ำพริกแกงเขียวหวาน ใช้เอง เพื่อให้ได้พริกแกง ที่หอม อร่อยถูกปาก ถูกใจ คนที่บ้าน แต่ถ้าใครใช้ชีวิตในเมือง ชีวิตอันรีบเร่ง และเร่งรีบ ไม่มีเวลามานั่งตำน้ำพริกแกงเอง แล้วล่ะก็ เราต้องใช้วิธีลองผิดลองถูกค่ะ ลองสลับซื้อน้ำพริกแกงเขียวหวาน ของเจ้าโน้นที ของเจ้านี้ที ว่าเวลาเอามาแกงเขียวหวานแล้ว ของยี่ห้อไหน น้ำพริกแม่อะไร อร่อยที่สุด ครั้งต่อไป แกงก็ซื้อเจ้าที่เราถูกปากที่สุดค่ะ หรืออาจจะต้องซื้อมาแล้ว ปรุงแต่งเพิ่มเติมอีกทีค่ะ 

สิ่งสำคัญถัดไป ในวิธีทำแกงเขียวหวานให้อร่อย ก็คือกะทิ ค่ะ ถ้าทำได้อยากให้ใช้กะทิสด แบบว่าซื้อมะพร้าวขูดมาคั้นเอง โดยจะต้องซื้อมะพร้าวใหม่ๆ จริงๆ ขูดใหม่ๆ คั้นกันใหม่ๆ (อุ๊ย.. โดนค้อน...โอเคค่ะ เอาเคล็ดลับ แบบเหนื่อยน้อยหน่อย ไม่ต้องขูดมะพร้าว แบบมะหมี่ก็ได้) แต่ก็จะบอกจริงๆ ว่า ถ้าอยากได้แกงเขียวหวานอร่อยๆ เราควรใช้กะทิคั้นสดใหม่ๆ ค่ะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ตามท้องตลาด ร้านขายมะพร้าว เค้าก็มีเครื่องคั้นให้นะคะ แต่ถ้ามันลำบากเหลือแสน ก็ใช้กะทิกล่องก็ได้ค่ะ 
เวลาแกง ไม่ว่าจะแกงเขียวหวาน หรือแกงไหนๆ ต้อง ผัดน้ำพริกแกง ก่อนค่ะ เอาหัวกะทิ ลงไปเคี่ยวในกะทะให้ แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงลงไป ผัด ผัด แล้วก็ผัด พอส่วนผสมเริ่มแห้ง ก็เติมกะทิลงไปอีกพอแฉะ แล้วก็ผัด ผัด ผัด จนน้ำพริกแกงแตกมัน มีกลิ่นหอมค่ะ (ไม่แนะนำให้ผัดน้ำพริกแกง ในครัวปิดที่ไม่มีเครื่องดูดควัน นะคะ แบบว่าจามกันทั่วบ้านแน่ค่ะ) เมื่อผัดน้ำพริกแกงเขียวหวาน จนได้ที่แล้วจึงใส่เนื้อสัตว์ตามที่ต้องการลงไป ไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู เนื้อ หรือลูกชิ้น อุ่ยเกือบลืมไป ในกรณีที่เป็น แกงเขียวหวานหมู หรือแกงเขียวหวานเนื้อ ถ้าเราอยากได้แกงแบบเนื้อนุ่มๆ ให้เราเอาเนื้อหมู หรือเนื้อวัว นั้นไปหมัก และเคี่ยวกับกะทิ ก่อนค่ะ จะทำให้ได้เป็น แกงเขียวหวานหมูนุ่มเลยล่ะค่ะ
พอเนื้อสัตว์เริ่มสุก จึงตักใส่ในหม้อหางกะทิ ที่อุ่นเอาไว้ก่อนแล้ว หางกะทิเวลาแกง เราไม่ควรใส่น้ำหางกะทิมากจนเกินไปค่ะ ใส่แต่พอทำให้แกง "ขลุกขลิก" แกงจะได้รสชาติเข้มข้นค่ะ จากนั้นคนให้เข้ากัน พอแกงเดือดอีกครั้งจึงใส่ผักลงไป ใบโหระพาให้ใส่เป็นขั้นตอนสุดท้าย ไม่อย่างงั้นใบจะดำดูไม่น่าทาน สีของพริกชี้ฟ้าที่ใช้ ให้เป็นสีแดงๆ เหลืองๆ จะช่วยส่งให้แกงเขียวหวาน ดูมีสีสัน น่ารับประทาน ที่เหลือก็แค่ตักใส่ชามเสริฟ์ร้อนๆ พร้อมกับข้าวสวยหรือขนมจีน

สูตรอาหาร : พายสับปะรด




สำหรับ วันนี้ผมเอาสูตรการทำ พายสับปะรด มาฝากกันสำหรับขั้นตอนการทำก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก เหมาะสำหรับทำเป็นของฝากให้กับคนรู้จัก หากทำอร่อยจะเอาไปทำขายก็ไม่ว่ากันครับ เอาหละไม่พูดพร่ำทำเพลงละ เรามาลองดูวิธีทำกันดีกว่า

ส่วนผสม (ทำได้ 40 ชิ้น)
1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 2 ถ้วยตวง
2. เนยสด 1/2 ถ้วยตวง
3. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
4. น้ำตาลไอซิ่ง 2 ช้อนชา

วิธีทำสับปะรดกวน
1. นำสับปะรดมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ
2. บีบน้ำออกให้หมด
3. นำสับปะรด 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย เกลือ 1 ช้อนชา อบเชยขนาดยาว 1 นิ้ว 1 แท่ง เผาไฟนิดหน่อย พอให้ออกกลิ่น (ถ้าเป็นอบเชยป่นก็ใช้ 1/2 ช้อนชา) ลงไปกวนด้วย คนเป็นระยะจนเหนียวทิ้งไว้ให้เย็น

วิธีทำแป้งพาย
1. ร่อนแป้ง เกลือป่น และน้ำตาลไอซิ่ง 2 ครั้ง ใส่ภาชนะ
2. ใส่เนยสดโดยตัดเป็นแผ่นบางๆลงในแป้งที่ร่อนในขั้นตอนแรก
3. ค่อยๆพรมน้ำ พร้อมใช้มือตะล่อมแป้ง และเนยสดให้เข้ากัน
4. เมื่อนวดแป้งเข้ากันแล้ว ให้ห่อด้วยกระดาษฟลอย หรือถุงพลาสติก แช่ในตู้เย็น 15 นาที
5. นำแป้งออกจากตู้เย็น แล้วมาคลึงแผ่เป็นแผ่นหนาประมาณ 1/4 นิ้ว
6. ตัดเป็นแผ่นแล้วใส่ลงพิมพ์
7. ตักสัปรดกวนใส่ แล้วนำแป้งตัดเป็นเส้น ทาด้วยไข่แดงที่ตีพอแตก มาคาดทับ
8. เข้าเตาอบ ความร้อน 375 ฟาเรนไฮท์ หรือ 200 องศาเซลเซียส

เท่านี้หละครับวิธีทำ เห็นไหมไม่ยากเลยสักนิด คราวหน้าจะเอาสูตรอาหารอะไรมาฝาก คอยติดตามกันนะครับ

สลัด สุขภาพ






ผักที่ใช้ในการทำสลัด


ผักเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในการทำสลัด แต่ประเภทของผักที่นิยมจะนำมา ทำสลัดนั้น มีอยู่ 2 อย่างคือ  เป็น ผักที่มีรสชาติที่ต้องเข้ากับน้ำสลัดได้ดี และ เป็น ผักที่มีความชอบส่วนตัว ในที่นี้เราจะแบ่งผักออกเป็น 3 ประเภท เพื่อเข้าใจง่ายขึ้น ผักประเภทใบ ผักประเภทหัวหรือผล และ ธัญพืช

   ผักประเภทใบเขียว เรามักเรียกโดยรวมทั่ว ๆ ไปว่า ผักใบเขียว ได้แก่ ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ก ผักคอสหรือผักโรเมน ผักคอสแดง ผักบัตเตอร์เฮด กะหล่ำปลี ซึ่งผักใบเขียวหรือแดงที่ยกตัวอย่างมานี้ นิยมใช้ทำสลัดกันมากที่สุดเพราะมีรสจืด แต่บางที่ผักให้กลิ่นฉุน หรือขมนิด ๆ  ก็เป็นที่ชื่นชอบกันไม่น้อยเลยที่เดียว เช่นผักร๊อกเกต สำหรับผักที่มีลักษณะที่ช่อ ก้าน หรือใบเล็ก ๆ ที่นิยมนำมาปรุงทำสลัด หรือ เป็นส่วนผสมในน้ำสลัด มีหลายชนิด เช่นกัน ที่นิยมกันมากที่สุด ทั้งทำสลัด และ ส่วนผสมของน้ำสลัด คือ ผักชีฝรั่ง หรือ พาร์สลีย์ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง หรือ เซเลอรี่ ผักชีลาว หรือ ดิลผักชีอิตาลี สะระแหน่ โหระพา ฯลฯ

   ผักประเภทหัวหรือผล ผักประเภทนี้ เป็นที่รู้จักกันดีและนิยมรับประทานกันอยู่แล้ว เช่น แครอท หัวหอมใหญ่ มันฝรั่ง มันเทศ เผือก มะเขือเทศ ฟักทอง พริกหวาน มะเขือม่วง บีตรู้ต แรดิช แตงกวา ซูกินี ฯลฯ  รวมถึงผลไม้อย่างอะโวคาโด แอ๊ปเปิ้ล มะม่วง แคนตาลูป ฝรั่ง แก้วมังกร  ฯลฯ เหมาะสำหรับที่จะทำเป็นสลัด ที่ต้องการใช้น้ำสลัดครีมข้น เวลารับประทานต้องนำไปต้ม นึ่ง หรือลวกให้สุกเสียก่อน ยกเว้นบางชนิดที่รับประทานสดได้เลย เช่น แครอท หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ พริกหวาน แตงกวา ซูกินี เป็นต้น และรวมถึงผลไม้ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน

  ธัญพืชต่าง ๆ ที่นิยมทำสลัดมากที่สุด คือ ถั่วแดง ลูกเดือย ข้าวโพด ฯลฯ รวมถึง ข้าวชนิดต่าง ๆ และ พาสต้าที่ทำมาจากข้าวสาลีด้วย เราสามารถใส่ธัญพืชแทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีสารอาหารครบห้าหมู่

ดังนั้น สลัดประเภทนี้ จะหนักท้องมากกว่า สลัดผักใบเขียวทั่ว ๆไป ต้องนำไปต้ม นึ่ง หรือลวกให้สุกเสียก่อนที่จะนำไปทำสลัด



มารู้จักผักสดที่นิยมนำมาใช้ทำผักสลัด เมนูสุขภาพ กันค่ะ





เครื่องปรุง

           ผักสลัดต่างๆ เช่น ผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ผักกาดหวาน มะเขือเทศลูกใหญ่หรือมะเขือเทศเชอร์รี่ แตงกวาไทยหรือญี่ปุ่น หอมหัวใหญ่ กะหล่ำม่วง แครอทฝอย พริกหยวกฝรั่งแดง-เหลือง  เครสต่างๆ เช่น วอเตอร์เครส มัสตาร์ดเครสหรือเครสญี่ปุ่น

น้ำสลัดน้ำใส

น้ำมันสลัด                      3  ส่วน

(300 มิลลิลิตร)

น้ำส้มสายชูบัลซามิล       1 ส่วน

(100 มิลลิลิตร)

มัสตาร์ดดีจอง                  1 ช้อนโต๊ะ

หอมเล็กสับ                      1 ช้อนโต๊ะ

ใบไทม์สด                        1 ช้อนชา

เกลือ                                 1 ช้อนชา

พริกไทยป่น                      ½ ช้อนชา

น้ำตาล                              ½ ช้อนชา

            วิธีทำ

1. ล้างผักให้สะอาด จัดใส่จานให้สวยงาม

2.เตรียมน้ำสลัด โดยใช้ไม้ตีไข่ทรงตระกร้อผสมทุกอย่างให้เข้าด้วยกัน ยกวันน้ำมันสลัด แล้วค่อยๆเติมน้ำมันสลัดลงในชาม โดยใช้ไม้ตีไข่ไปเรื่อยๆ

**การถนอมผักสลัด วิธีรักษาคุณภาพผักคือเอาใบตองห่อผัก โดยอย่าเพิ่งล้างผัก เพราะผักจะชำชอก ที่ถูกล้างเก็บไว้ต้องเน่า เพียงเอาน้ำพรมน้อยๆแค่ให้ชื้น และใส่ถุงพลาสติกยักษ์เก็บไว้ในตู้เย็น จะไม่เหี่ยวเน่า สดสวย

**น้ำสลัดนั้นเก็บในขวดแช่ตู้เย็นไว้รับประทานได้นาน 3-4 อาทิตย์





                                                   

สภาวะของอารมณ์


 

“เบื่อ”
เป็นสภาวะของอารมณ์ที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในขณะนั้น โดยอาจแสดงออกด้วยการซึมเศร้า นิ่งเฉย ขาดความสดชื่น ไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ขาดแรงจูงใจและเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
     
       ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกคนต้องเคยตกอยู่ในสภาวะแห่งความเบื่อหน่ายกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเบื่องาน เบื่อแฟน เบื่อคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งเบื่อตัวเอง
     
       ผู้เขียนมีวิธีการแก้เบื่ออย่างง่ายๆ ที่มั่นใจว่าช่วยลดความเบื่อได้อย่างแน่นอน 100% ดังนี้
     
       1.เบื่องาน เช่น รู้สึกไม่อยากทำงาน ขาดแรงจูงใจในการทำงาน รวมไปถึงเบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกนัอง เบื่อระบบงานต่างๆ ซึ่งทำให้ไม่อยากจะหยิบจะจับงานอะไรหรือพาลอยากจะลาออกจากงานไปเลยด้วยซ้ำ
     
       วิธีแก้เบื่องาน
       - คิดด้านบวกเกี่ยวกับการทำงาน คือ คิดเสียว่างานเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรา มีงานทำดีกว่าไม่มี เพราะถ้าไม่มีงานเราก็จะขาดรายได้ซึ่งทำให้เราไม่มีเงินสำหรับการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นหรือซื้อหาความสะดวกสบายให้ชีวิต
       - คิดว่างานเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่เราจะต้องเอาชนะและทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความสามารถของเรา
       - จัดแต่งโต๊ะทำงานใหม่ เช่น เอารูปภาพวิวสวย ๆ มาติด เอาแจกันใส่ดอกไม้สวย ๆ มาวางบนโต๊ะทำงาน ทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายหายเบื่อได้
       - แก้ปัญหาเบื่อเพื่อนร่วมงาน อาจจะเกิดจากการที่เรามีเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน หรือเจอเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้าย ซึ่งทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายจนพาลอยากจะลาออกจากงาน วิธีแก้เบื่อเพื่อนร่วมงานอย่างง่ายที่สุดก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พยายามพูดหรือเกี่ยวข้องกับคนที่เราเบื่อให้น้อยที่สุด
     
       2.เบื่อคนใกล้ตัว เช่น เบื่อแฟน เบื่อสามี เบื่อภรรยา ซึ่งก็มักเกิดจากความไม่เข้าใจกัน มีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ รู้สึกว่าถูกคนใกล้ตัวเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่งเบื่อหน่ายนิสัยบางอย่างของเขา ถูกเขาทำให้เสียใจ ผิดหวังซ้ำซาก หรืออาจเกิดจากการที่ความพิศวาส หรือความพึงพอใจในตัวเขาลดลง ทำให้ขาดความตื่นเต้นในชีวิตคู่ สัญญาณในการบอกว่าเรารู้สึกเบื่อแฟนหรือเบื่อสามีภรรยา สังเกตได้ง่ายๆ คือ รู้สึกคิดถึงและห่วงใยน้อยลง เวลาอยู่ด้วยกันก็แทบไม่คุยกันหรือมีกิจกรรมร่วมกันน้อยมาก
     
       วิธีแก้เบื่อคนใกล้ตัว
       - หันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจ รวมทั้งพูดตรงๆ ถึงความรู้สึกของกันและกันว่าเรารู้สึกไม่พอใจกันตรงไหนบ้าง เพื่อหาวิธีแก้ไขและปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะมีความเข้าใจกันมากขึ้นและเมื่อได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนแล้ว ความรู้สึกจะดีขึ้นและทำให้หายเบื่อหน่ายซึ่งกันและกันได้
       - ท่องเที่ยวร่วมกัน การที่แฟนหรือสามีภรรยา ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ในการไปดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวต่างประเทศ เหมือนเป็นการไปฮันนีมูน ไปดูสิ่งที่สวยงามแปลกใหม่ เป็นโอกาสให้ได้ใช้เวลาที่ดีร่วมกัน ซึ่งนอกจากช่วยสานสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ความเบื่อหน่ายระหว่างกันลดลงด้วยเพราะความตื่นเต้นสนุกสนานจะทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขขึ้นได้
     
       3.เบื่อตัวเอง เกิดจากความรู้สึกเหงา คับข้องใจ ไม่ได้ตามที่ใจต้องการ หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่ซ้ำซากจำเจ หดหู่ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถ้าเกิดกับใครขึ้นมา คนนั้นก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองจนขาดแรงบันดาลใจและความสุขในการดำเนินชีวิต
     
       วิธีแก้เบื่อตัวเอง
       - เปลี่ยนทรงผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเราเป็นคนใหม่ได้
       - ออกกำลังกาย ทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ผ่อนคลาย ยิ่งถ้าคุณมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ ลองท้าทายตัวเองโดยการออกกำลังกายเพื่อให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้น แล้วชีวิตใหม่ๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน
       - เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แต่งบ้านใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมในบ้านให้แปลกตาไปกว่าเดิม จัดสวนใหม่ หาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลา จะทำให้ชีวิตเราสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายขึ้น
       - ลองเปลี่ยนเส้นทางในการไปทำงานหรือกลับบ้านบ้าง จากเส้นทางเดิมๆที่รถติดน่าเบื่อหน่ายอาจสลับเปลี่ยนไปเดินทางที่ลัดบ้างอ้อมบ้างแต่รถไม่ติดมากและยังได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากเดิม
       - ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต
       - กินอะไรที่ไม่เคยกิน ไปร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือลองคิดค้นหาเมนูอาหารใหม่ๆ ลองทำกินดู
       - โซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยได้ การคุยกับเพื่อน ๆ ออนไลน์ผ่านทาง facebook whatsapp line ช่วยทำให้เราหายเบื่อได้ แต่อย่าถึงเสพติดจนติดแหง่กไม่สนใจชีวิตด้านอื่นเลย
       - สมัครเรียนคอร์สสั้นๆ ที่เราสนใจ เช่น เรียนทำขนม เรียนภาษา เรียนร้องเพลง เรียนโยคะ
       - ไปเดินตลาดต้นไม้ หาต้นไม้มาปลูกที่บ้าน เพื่อสร้างความสดชื่น
       - เขียนบันทึก หรือเขียนบล็อกของตัวเอง ระบายความในใจ
       - ไปเยี่ยมคนชราหรือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ สมัครเป็นอาสาสมัครในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เช่น ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ไปเก็บขยะที่ชายหาด เราจะได้รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่าขึ้น
     
       ความรู้สึก “เบื่อ” เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราสามารถจัดการกับมันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปรับสภาพแวดล้อม เปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเราเอง ด้วยการก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราสดชื่นและหายเบื่อได้ อย่าบ่อยให้ความเบื่อครอบงำเรานานเกินไป เพราะมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตเรา มีแต่จะสร้างความเสียหายทั้งนั้น
     
       ถึงเวลาทิ้งความเบื่อของคุณแล้วรึยัง!

วิธีเรียนเก่ง ฉบับคน (พยายาม) ขยัน



1. ก่อนเรียน

อ่านหนังสือ
อย่า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเบสิก สมาธิสั้นอย่างเรารึจะอ่านได้นาน
หน้าเดียวก็เก่งแล้ว การอ่านที่ดีนั่น รู้กันอยู่แล้วสินะ อันนั้นเราไม่ใช้^^
ที่เราทำก็คือ อ่านก่อนเรียน1ครั้งแบบผ่านๆ ผ่านมากๆเลยนะ
รู้เเค่ว่าใช้สูตรนี้ ทำอันนี้ หรือ เจ้านี้คืออันนี้
อาจลืมได้ ช่างมัน ไม่ต้องไปตามเก็บกลับมา
ใช้เวลาอ่าน ครึ่งชั่วโมง 3วิชา (ในหนึ่งวันอาจให้เวลาประมาณ45นาทีในการอ่านทุกวิชา)

2.ในห้อง
หลับ==เอ๊ย!! ไม่ใช่ ฟังอาจารย์ แน่นอน
จะตั้งใจฟังหรือฟังไปเล่นไปก็เเล้วแต่สมาธิจะอำนวย
แต่ตรงไหนที่อาจารย์ย้ำ ขอให้ขีดเส้นไว้นิดหนึ่ง
อาจารย์จะต้องพูดประมาณว่า ตรงนี้สำคัญนะ หรือ
อาจารย์บางท่านอาจจะไม่พูด อานิสงค์จากที่อ่าน(ผ่านๆ)มาเมื่อวาน
เราจะนึกได้(แว่บๆ)ว่า ตรงนี้มีสิ่งที่ต้องจำอยู่
ตรงที่ไม่มี อันนี้ความขยันของแต่ละคนไม่เท่ากัน
แต่ที่อาจารย์บอกๆมา แนะว่าให้ขอลอกจากคนที่ขยันกว่า หรือ หาในห้องสมุด
พวกหนังสือเอ็น มีชัวร์
ถ้าใครกลัวพลาด ให้ซื้อ(ถ้าพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง)ที่อัดเสียง หรือเครื่องเล่นmp3เล็กๆ
อัดเก็บไว้ซะเลย(อันนี้ต้องคนที่นั่งหน้าห้องหรือห้องเงียบๆเท่านั้น ไม่งั้น ไม่ไหวๆ)

3.เรียนเสร็จ 
อ่านอีกรอบ อ่านเคร่งหรอ ไม่ๆ (ชีวิตนี้ไม่คิดจะอ่านหนังสือจริงจังกับเขาเลย)
ให้มีสมุด หรือกระดาษถ่ายเอกสาร(ร้านมักถ่ายแค่หน้าเดียว)
มาข้างกาย อ่านออกเสียงจะดีมาก เล่าให้ตัวเองฟังไปเลย
กระดาษถ้าเขียนเป็นเเผนภาพ เขียนชื่อ รึอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับที่อ่านเป็นพอ
ใช้เวลาทวนหนึ่งวันประมาณอีก1ชั่วโมง
(ถ้าเล่าเพลินอาจมากกว่านั้น)
บางทีอารมณ์นักเขียนพุ่ง จับมาเเต่งนิยายซะที
(เคยนะ เอาธาตุเคมีมาเป็นตัวละคร
แล้วใช้สมบัติของธาตุเดินเรื่อง มันพะยะค่ะ จำแม่นเลยทีนี้^^)
แล้วก็เก็บไว้เละแค่ไหนก็ต้องเก็บนะ ถ้าแยกวิชาด้วยจะดีมากๆ

แล้วก็ทำโจทย์วันละ 3-4 ข้อ เรื่องที่เราอ่านนั้นล่ะ
5 วิชาก็เเค่ 20 ข้อเอง(หรือมากกว่านั้นถ้าไหว)
อย่าโหมๆ

เบ็ดเสร็จ 1 วัน ทบทวนบทเรียนเป็นเวลา2-3ชั่วโมง
(บางวันอาจเหลือ1หรือไม่ทำเลย)
ทำการบ้านอีก ประมาณ2ชั่วโมง
(เราน่ะหรือ ลอกตอนเช้าเอา-- ถ้าวิชาไหนเห็นท่าเพื่อนไม่รอดก็จะทำเอง(ไม่ดีนะจ๊ะแบบนี้))
อ่านตอน5โมง 1ทุ่มก็จะเล่นได้เเล้ว^^

4.ช่วงสอบ 
เอาที่เราเขียน(เขี่ย)มาอ่านอีกรอบ ไม่รู้เรื่องใช่มั้ย
ถ้าไม่รู้เรื่องจะดีมาก มันจะเกิดอาการสงสัยในตัวเอง
เราเขียน...อะไรไว้นี่ แล้วก็จะเริ่มหา
จะจำได้ไม่ได้ก็ตอนหานี่ล่ะ คล้ายๆเเข่งเปิดพจนานุกรมเลย สนุกนักแล
ทำโจทย์ก่อนสอบอีก 20 ข้อ
สอบได้แบบง่ายๆ เลย

วิธีแก้ปัญหาสารพัดเบื่อ/นายกฤติธี หีมปอง


 

“เบื่อ”
เป็นสภาวะของอารมณ์ที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองในขณะนั้น โดยอาจแสดงออกด้วยการซึมเศร้า นิ่งเฉย ขาดความสดชื่น ไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ขาดแรงจูงใจและเป้าหมายในการกระทำสิ่งต่างๆ
     
       ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านทุกคนต้องเคยตกอยู่ในสภาวะแห่งความเบื่อหน่ายกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเบื่องาน เบื่อแฟน เบื่อคนใกล้ตัวหรือแม้กระทั่งเบื่อตัวเอง
     
       ผู้เขียนมีวิธีการแก้เบื่ออย่างง่ายๆ ที่มั่นใจว่าช่วยลดความเบื่อได้อย่างแน่นอน 100% ดังนี้
     
       1.เบื่องาน เช่น รู้สึกไม่อยากทำงาน ขาดแรงจูงใจในการทำงาน รวมไปถึงเบื่อเพื่อนร่วมงาน เบื่อหัวหน้า เบื่อลูกนัอง เบื่อระบบงานต่างๆ ซึ่งทำให้ไม่อยากจะหยิบจะจับงานอะไรหรือพาลอยากจะลาออกจากงานไปเลยด้วยซ้ำ
     
       วิธีแก้เบื่องาน
       - คิดด้านบวกเกี่ยวกับการทำงาน คือ คิดเสียว่างานเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตของเรา มีงานทำดีกว่าไม่มี เพราะถ้าไม่มีงานเราก็จะขาดรายได้ซึ่งทำให้เราไม่มีเงินสำหรับการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นหรือซื้อหาความสะดวกสบายให้ชีวิต
       - คิดว่างานเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเรา เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่เราจะต้องเอาชนะและทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความสามารถของเรา
       - จัดแต่งโต๊ะทำงานใหม่ เช่น เอารูปภาพวิวสวย ๆ มาติด เอาแจกันใส่ดอกไม้สวย ๆ มาวางบนโต๊ะทำงาน ทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้เรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ซึ่งจะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายหายเบื่อได้
       - แก้ปัญหาเบื่อเพื่อนร่วมงาน อาจจะเกิดจากการที่เรามีเพื่อนร่วมงานที่มีทัศนคติไม่ตรงกัน หรือเจอเพื่อนร่วมงานที่ชอบเอาเปรียบ อิจฉาริษยา ชอบนินทาว่าร้าย ซึ่งทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่ายจนพาลอยากจะลาออกจากงาน วิธีแก้เบื่อเพื่อนร่วมงานอย่างง่ายที่สุดก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงการอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พยายามพูดหรือเกี่ยวข้องกับคนที่เราเบื่อให้น้อยที่สุด
     
       2.เบื่อคนใกล้ตัว เช่น เบื่อแฟน เบื่อสามี เบื่อภรรยา ซึ่งก็มักเกิดจากความไม่เข้าใจกัน มีปากเสียงทะเลาะกันบ่อยๆ รู้สึกว่าถูกคนใกล้ตัวเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่งเบื่อหน่ายนิสัยบางอย่างของเขา ถูกเขาทำให้เสียใจ ผิดหวังซ้ำซาก หรืออาจเกิดจากการที่ความพิศวาส หรือความพึงพอใจในตัวเขาลดลง ทำให้ขาดความตื่นเต้นในชีวิตคู่ สัญญาณในการบอกว่าเรารู้สึกเบื่อแฟนหรือเบื่อสามีภรรยา สังเกตได้ง่ายๆ คือ รู้สึกคิดถึงและห่วงใยน้อยลง เวลาอยู่ด้วยกันก็แทบไม่คุยกันหรือมีกิจกรรมร่วมกันน้อยมาก
     
       วิธีแก้เบื่อคนใกล้ตัว
       - หันหน้าเข้าหากันเพื่อปรับความเข้าใจ รวมทั้งพูดตรงๆ ถึงความรู้สึกของกันและกันว่าเรารู้สึกไม่พอใจกันตรงไหนบ้าง เพื่อหาวิธีแก้ไขและปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะมีความเข้าใจกันมากขึ้นและเมื่อได้ร่วมกันปรับเปลี่ยนแล้ว ความรู้สึกจะดีขึ้นและทำให้หายเบื่อหน่ายซึ่งกันและกันได้
       - ท่องเที่ยวร่วมกัน การที่แฟนหรือสามีภรรยา ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ในการไปดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวต่างประเทศ เหมือนเป็นการไปฮันนีมูน ไปดูสิ่งที่สวยงามแปลกใหม่ เป็นโอกาสให้ได้ใช้เวลาที่ดีร่วมกัน ซึ่งนอกจากช่วยสานสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยทำให้ความเบื่อหน่ายระหว่างกันลดลงด้วยเพราะความตื่นเต้นสนุกสนานจะทำให้อารมณ์ดีและมีความสุขขึ้นได้
     
       3.เบื่อตัวเอง เกิดจากความรู้สึกเหงา คับข้องใจ ไม่ได้ตามที่ใจต้องการ หันไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่ซ้ำซากจำเจ หดหู่ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ถ้าเกิดกับใครขึ้นมา คนนั้นก็จะรู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองจนขาดแรงบันดาลใจและความสุขในการดำเนินชีวิต
     
       วิธีแก้เบื่อตัวเอง
       - เปลี่ยนทรงผมและเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเราเป็นคนใหม่ได้
       - ออกกำลังกาย ทำให้จิตใจแจ่มใสและอารมณ์ผ่อนคลาย ยิ่งถ้าคุณมีปัญหาในเรื่องน้ำหนักด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่ ลองท้าทายตัวเองโดยการออกกำลังกายเพื่อให้เรามีรูปร่างที่ดีขึ้น แล้วชีวิตใหม่ๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน
       - เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น แต่งบ้านใหม่ ปรับเปลี่ยนมุมในบ้านให้แปลกตาไปกว่าเดิม จัดสวนใหม่ หาสัตว์เลี้ยงมาเลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลา จะทำให้ชีวิตเราสดชื่นขึ้นและผ่อนคลายขึ้น
       - ลองเปลี่ยนเส้นทางในการไปทำงานหรือกลับบ้านบ้าง จากเส้นทางเดิมๆที่รถติดน่าเบื่อหน่ายอาจสลับเปลี่ยนไปเดินทางที่ลัดบ้างอ้อมบ้างแต่รถไม่ติดมากและยังได้เห็นทิวทัศน์ที่แปลกตาไปจากเดิม
       - ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป เพื่อสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิต
       - กินอะไรที่ไม่เคยกิน ไปร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยไปมาก่อน หรือลองคิดค้นหาเมนูอาหารใหม่ๆ ลองทำกินดู
       - โซเชียลเน็ตเวิร์กช่วยได้ การคุยกับเพื่อน ๆ ออนไลน์ผ่านทาง facebook whatsapp line ช่วยทำให้เราหายเบื่อได้ แต่อย่าถึงเสพติดจนติดแหง่กไม่สนใจชีวิตด้านอื่นเลย
       - สมัครเรียนคอร์สสั้นๆ ที่เราสนใจ เช่น เรียนทำขนม เรียนภาษา เรียนร้องเพลง เรียนโยคะ
       - ไปเดินตลาดต้นไม้ หาต้นไม้มาปลูกที่บ้าน เพื่อสร้างความสดชื่น
       - เขียนบันทึก หรือเขียนบล็อกของตัวเอง ระบายความในใจ
       - ไปเยี่ยมคนชราหรือเด็กกำพร้าที่สถานสงเคราะห์ สมัครเป็นอาสาสมัครในการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม เช่น ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ไปเก็บขยะที่ชายหาด เราจะได้รู้สึกว่าชีวิตเรามีค่าขึ้น
     
       ความรู้สึก “เบื่อ” เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราสามารถจัดการกับมันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ปรับสภาพแวดล้อม เปลี่ยนมุมมองความคิดของตัวเราเอง ด้วยการก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราสดชื่นและหายเบื่อได้ อย่าบ่อยให้ความเบื่อครอบงำเรานานเกินไป เพราะมันไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับชีวิตเรา มีแต่จะสร้างความเสียหายทั้งนั้น
     
       ถึงเวลาทิ้งความเบื่อของคุณแล้วรึยัง!

7 วิธีกำจัดความเครียด…ศัตรูตัวร้ายทำลายความสุข/นายกฤติธี หีมปอง




 ความเครียด คือ สภาวะที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ และความรู้สึก ทั้งเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต หรือในบางครั้งอาจไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่มีผลทำให้เกิดความไม่สบายใจ กดดัน วิตกกังวล หวาดกลัว ไม่มีความสุข ซึ่งต่างก็เป็นผลในทางลบที่ทำให้เกิดอันตรายต่อคนเรา ดังนี้
     
       1.ด้านร่างกาย
     
       เมื่อเกิดความเครียดจะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้เกิดอาการป่วยทางกายหลายอย่าง เช่น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดหลัง ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ตามมา ทั้งโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำเกิดโรคหอบหืดหรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ และยังเคยมีกรณีที่ผู้สูงอายุเกิดอาการช็อคเป็นลมเสียชีวิตเนื่องด้วยตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างรุนแรง
     
       2.ด้านพฤติกรรม
     
       เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะเครียดอย่างรุนแรงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีบางอย่างในสมอง ที่ส่งผลให้บุคคลมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ เช่น ซึมเศร้า ปลีกตัวออกจากสังคม บางรายอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำลายสิ่งของ ทำร้ายผู้อื่น หรือหากมีอาการหนักมากอาจถึงขนาดคิดสั้นฆ่าตัวตาย ทำร้ายตนเองหรือทำร้ายผู้อื่น
     
       3.ด้านอารมณ์และจิตใจ
     
       ความเครียดทำให้อารมณ์สับสน หงุดหงิดโมโหง่าย วิตกกังวล มองโลกในแง่ร้าย และเมื่อมีปัญหาทางด้านอารมณ์สะสมไปนานๆ เข้า ก็จะส่งผลโดยตรงต่อสภาวะทางด้านจิตใจ ทำให้กลายเป็นคนที่มีปัญหาทางด้านจิตประสาทได้ นอกจากนี้ ความเครียดยังทำให้ความสามารถทางด้านสติปัญญาทั้งในการแก้ปัญหาและทางด้านความจำลดลงอีกด้วย
     
        ดังนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าความเครียดส่งผลร้ายอย่างมากมายต่อตัวเราแล้ว หากเริ่มรู้สึกว่าตนเองเครียดก็วิธีกำจัดและคลายเครียดที่สามารถทำได้ด้วยตนเองอย่างง่ายๆ ดังนี้
     
       1.ระบายความในใจ คือ การได้ปลดปล่อยอารมณ์ ความคิดและความรู้สึกออกมาภายนอก ผ่านการแสดงออกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
     
        - การพูด การที่เราได้พูดระบายความรู้สึกที่ขุ่นข้องหมองใจของเราเองกับคนสนิท เช่น คนในครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง เป็นวิธีการคลายเครียดที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว เราอาจได้รับคำแนะนำดีๆ ในการแก้ปัญหาชีวิตของเราจากคนที่รักและหวังดีกับเราก็ได้
     
        - การเขียน บางครั้งคนที่มีภาวะเครียดก็อาจไม่อยากพูดคุยกับใคร ดังนั้น อาจใช้การเขียนระบายความรู้สึกใส่กระดาษ ไดอารี หรือเดี๋ยวนี้บางคนก็เลือกที่จะแสดงความรู้สึกผ่านการเขียนทาง blog ทาง facebook ทาง club ใน webpage ต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้ระบายความอัดอั้นแล้ว ยังอาจได้มิตรภาพหรือคำแนะนำดีๆ จากคนที่เราไม่เคยรู้จักก็เป็นได้
     
       2.ท่องเที่ยว เมื่อเกิดความเครียด ไม่ควรเก็บตัวอยู่คนเดียวหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ วิธีแก้เครียดที่ได้ผลดีที่สุดอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การที่เราได้พาตัวเองออกไปพบเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปดูนิทรรศการ ไปชมการแสดง ไปเดินเล่นสวนสาธารณะ ไปเดินดูข้าวของตามห้าง การที่เราได้ออกไปพบเจอสิ่งแปลกใหม่ๆ หรือได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติจะช่วยทำให้เรามีอารมณ์สดชื่น รู้สึกสนุกสนาน หายเหนื่อยล้าจากความเครียด



       3.ฟังเพลง มีงานวิจัยมากมายที่สรุปตรงกันว่า การฟังดนตรีเป็นวิธีการคลายเครียดได้ดี แต่ให้เลือกบทเพลงหรือดนตรีที่มีลักษณะที่ช่วยคลายเครียดได้ดี เช่น เพลงบรรเลงแบบ Green Music คือ เพลงบรรเลงที่มีทำนองช้าๆ เบาๆ ที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น และมีเสียงธรรมชาติประกอบ เช่น เสียงน้ำไหล เสียงฝนตกเบาๆ เสียงนกร้อง ซึ่งจะช่วยทำให้คลายเครียดได้เป็นอย่างดีทีเดียว ช่วงเครียดไม่ควรเลือกฟังเพลงที่มีเนื้อหาทำร้ายความรู้สึก หรือจิตใจหรือเพลงที่มีทำนองดนตรีที่รุนแรงเพราะจะยิ่งทำให้เครียดมากขึ้นไปอีก
     
       4.ดูหนังดูละคร ละคร หรือหนัง หรือรายการที่มีเนื้อหาเบาสมอง เช่น หนังตลก เกมโชว์ การ์ตูนเด็กๆ ช่วยทำให้ผ่อนคลายความเครียดได้ เพราะการได้ยิ้ม ได้หัวเราะ จะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมา (เอนโดฟิน) ซึ่งจะไปช่วยให้อารมณ์ของเราสดชื่นและมีความรู้สึกเป็นสุขมากขึ้น
     
       5.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายให้ประโยชน์หลายอย่างแก่เรา ทั้งให้ร่างกายแข็งแรง และกำจัดความเครียดได้ด้วย เพราะการออกกำลังทำให้เราหยุดนึกถึงเรื่องราวที่ทำให้เครียดและกังวลไปได้ชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อใช้เวลากับการออกกำลังกายไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ความเครียดของเราค่อยๆ บรรเทาไปในที่สุด เพราะโดยปกติแล้วเมื่อคนเราเครียดกล้ามเนื้อต่างๆ ในร่างกายก็จะหดตัว ตึง และแข็ง ทำให้ไม่สบายกายด้วย เมื่อเราได้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อที่มันตึงอยู่นั้นก็จะคลายลง ทำให้รู้สึกสบายและมีความสุข จึงขอแนะนำว่าควรออกกำลังกายเบาๆ ไม่ควรออกกำลังกายเพื่อการแข่งขันหรือรุนแรงจนได้รับอันตราย เพราะนั่นอาจจะเป็นการเพิ่มความเครียดให้คุณอีกทางหนึ่งก็เป็นได้
     
       6.ทำงานอดิเรก ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีภาวะเครียดมักจะเป็นคนที่ต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป เช่น จดจ่อกับงาน กับลูก กับคนเจ็บป่วย กับหนี้สินและการเงิน กับสภาวะแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้น การแก้เครียดจึงต้องละจากสิ่งที่จดจ่ออยู่นั้นไปให้ความสนใจกับสิ่งอื่นบ้าง โดยอาจหางานอดิเรกทำให้เกิดความเพลิดเพลิน เช่น ทำงานศิลปะ ฝึกเล่นเครื่องดนตรี ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ไปนวดหน้านวดตัว แต่งห้องใหม่ งานอดิเรกเหล่านี้สามารถสร้างความสุขให้แก่เราได้ เพราะนอกจากจะทำให้เราเพลิดเพลินแล้ว การได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิตจะทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองด้วย
     
       7.ทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญทำทานหรือทำการสงเคราะห์ เป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างความสงบสุขให้แก่จิตใจของเรา บางครั้งคนเราเกิดความเครียดเพราะการงานไม่สำเร็จตามเป้าหมาย หรือคิดว่าตัวเองด้อยค่าไม่มีสิ่งต่างๆ เหมือนคนอื่นเขา หรือถูกทำร้ายทางร่างกายหรือจิตใจมา การที่ได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นโดยเฉพาะทำกับคนที่เขาบกพร่อง เช่น คนพิการ คนยากจน คนไร้ญาติขาดมิตร ไร้ที่อยู่อาศัย จะทำให้เราได้เห็นมุมมองอื่นๆ ในชีวิตที่เราไม่เคยเห็นว่าไม่มีใครสักคนในโลกนี้ที่จะเกิดมาสมบูรณ์พร้อมหรือมีความสุขตลอดเวลา คนทุกคนย่อมมีปัญหาที่ต้องเผชิญและฝ่าฟันกันไปให้ได้ทุกคน ดังนั้น หากเครียดหรือมีปัญหาเมื่อใดก็ให้ทำความดีต่อผู้อื่นเพราะจะทำให้เกิดความสุขใจทั้งต่อตัวเราและต่อคนที่เราทำดีด้วย
     
        ความเครียดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ดังนั้น อย่ากลัวที่จะเครียด แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มรู้สึกว่าเราเครียดแล้วก็ควรต้องรีบที่จะควบคุมและหาทางเอาความเครียดออกไปจากชีวิตของเราให้ได้อย่างเร็วที่สุด เพราะมันไม่มีประโยชน์กับเรามีแต่จะยังให้เกิดโทษต่างๆ ตามมามากมาย จงเข้มแข็งและอย่ายอมแพ้มัน เมื่อคุณเอาชนะมันได้แล้วพื้นที่ความสุขในชีวิตของคุณจะกลับคืนมา

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อสุขภาพ

กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด เพื่อสุขภาพ
              Blood Type Diet การกินตามกรุ๊ปเลือด ถูกพัฒนาโดย Naturopathic Physician นามว่า ปีเตอร์ ดี
อาดาโม่ การไดเอตนี้มีชื่อว่า "Eat Right For Your Type" หรือก็คือ จะแนะนำให้คนเรากินอาหารโดยอิงจากกรุ๊ปเลือด A B AB หรือ O โดยอ้างว่า กรุ๊ปเลือดแต่ละชนิดนั้น จะย่อยโปรตีนจากอาหาร (เรียกว่าเลคติน) ได้ต่างกัน นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า การกินอาหารที่มีเลคตินผิดประเภทสำหรับร่างกายคุณนั้นจะส่งผลกระทบในทางลบต่อร่างกาย เช่น บวมน้ำ เมตาบอลิซึมถดถอย และแม้แต่มะเร็งบางชนิด ในทางตรงกันข้ามก็เชื่อว่า การกินอาหารที่ถูกประเภทสำหรับคุณจะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
        กรุ๊ป O
          เป็นกรุ๊ปเลือดแรกที่เก่าแก่สุดของมนุษย์เรา เชื่อว่าคนที่มีกรุ๊ปเลือดนี้จะมีความเป็นนักล่าจากบรรพบุรุษของพวกเราหลงเหลืออยู่ในตัว จึงเหมาะสำหรับอาหารแบบโปรตีนสูง คือ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ปลา ธัญพืช และขนมปัง กับการออกกำลังกายอย่างเข้มข้น
        กรุ๊ป A
          เชื่อว่ากรุ๊ปเลือดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์เรามีการทำเกษตรกรรมแล้ว เพราะเราต้องมีการย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ดีมากขึ้น ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดเอจึงเหมาะสำหรับโปรตีนถั่วเหลือง ธัญพืช ผัก แต่ในขณะเดียวกัน ต้องกินเนื้อแดงน้อยกว่าคนกรุ๊ปเลือดอื่น ๆ เช่นเดียวกับการออกกำลัง ก็ต้องเบากว่ากรุ๊ปโอด้วย
        กรุ๊ป B
          เชื่อว่ากรุ๊ปนี้มีความสามารถในการปรับตัวที่ดี พร้อมกับมีระบบย่อยอาหารที่ค่อนข้างจะยืดหยุ่น  ดังนั้น คุณสามารถกินผลิตภัณฑ์จากนมได้สบาย และยังกินเนื้อสัตว์ได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี อาจจะต้องหลีกเลี่ยงข้าวโพด ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง มะเขือเทศ และพีนัท ในขณะที่การออกกำลังกายของคุณสามารถหนักกว่ากรุ๊ปเอ ให้อยู่ในระดับปานกลาง
        กรุ๊ป AB
          กรุ๊ปนี้จะมีคุณสมบัติรวมของเอและบี คนกรุ๊ปเลือดนี้อาจจะหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์และหันมากินเต้าหู้ อาหารทะเลหรือนมแทน สามารถออกกำลังกายสลับหนัก-เบาได้

          การกินตามกรุ๊ปเลือดนั้น จะทำให้คุณลดน้ำหนักตัว กระปรี้กระเปร่า และสุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ดีการไดเอตแบบนี้เน้นที่ผลของสุขภาพและการป้องกันโรคมากกว่าเรื่องการลดน้ำหนัก แผนการไดเอตดังกล่าวอ้างอิงจากความเชื่อว่าเราทุกคนแตกต่างกันในเรื่องของอาหาร ไม่มีการควบคุมแคลอรี่ในการไดเอตเช่นนี้ หมายความว่า จะไม่มีความหิวโหยที่เกิดจากการไดเอต แต่อาจจะไม่เห็นผลในเรื่องของการลดน้ำหนักอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ออกกำลังกายร่วมด้วย หลายคนจึงเห็นผลจริง